วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ดอกจำปี







ชื่อภาษาอังกฤษ     White champaka
ชื่อวิทยาศาสตร์     Michelia X alba DC.
ถิ่นกำเนิด            
อินโดนีเซีีย
วงศ์
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
     Magnoliaceae
จำปี-จำปา เป็นไม้ดอกยืนต้นที่ปลูกในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว ในปัจจุบันมีเกษตรกรสนใจปลูกเป็นการค้ากันมากขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บดอกใช้ทำพวงมาลัยหรือใช้ประกอบในงานพิธีต่าง ๆ และยังปลูกตกแต่งสวนได้เพราะว่าทั้งดอกจำปี-จำปามีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังมีจำปีสีนวล จำปาแขกที่จัดเป็นชนิดเดียวกันอีกด้วย พื้นที่การปลูกจำปี-จำปาในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2534 มีประมาณ 2,000 ไร่ และผลผลิตส่วนใหญ่ใช้บริโภคภายในประเทศมีเพียงส่วนน้อยที่เหลือส่งออกประเทศที่รับซื้อคือเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม บรูไน (ข้อมูลจากด่านตรวจพืช)
ลักษณะทาง
พฤกษศาสตร์
     ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง กิ่งมีขนสีเทา  ใบเดี่ยวเรียงเวียน  หูใบยาวถึง 2.5 เซนติเมตร  มีขน  ก้านใบยาว 1.5-2 เซนติเมตร ใบรูปใบหอกแกมรูปไข่ถึงแกมขอบขนาน  ขนาดกว้าง 5.5-16 เซนติเมตร  ยาว 15.35 เซนติเมตร  ปลายใบเรียวแหลม  ยาว 3 เซนติเมตร   โคนใบสอบเรียว  ก้านดอกย่อย ยาว 0-2 เซนติเมตร  ดอกมีจำนวนมาก สีขาว  มีกลิ่นหอม กลีบรวม มี 12 กลีบ (อาจพบมี 8 กลีบ) รูปขอบขนาน ปลายแหลมขนาดใกล้เคียงกัน ยาว 3-3.5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ มีจำนวนมาก 20-32 อัน เกสรเพศเมีย ก้านชูเกสร ยาว 0.5 เซนติเมตร  รังไข่มี 10-13 อัน (อาจมี 4 อัน) แยกกัน ผิวเกลี้ยงหรือมีขนสีน้ำตาล ไม่ติดผล
      จำปี อาจเป็นลูกผสมที่เกิดตามธรรมชาติของ Michelia champaca Blume และ M. Blume ในมาเลเซียหรือชวา เพราะมีลักษณะผสมระหว่าง 2 ชนิดนี้ 
นิเวศน์วิทยา     ไม่ทราบแหล่งกำเนิดในธรรมชาติ   แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจกำเนิดในมาเลเซียหรือชวา   มีการปลูกทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อน รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไทยมีการปลูกทั่วไปตามบริเวณบ้าน เป็นไม้ประดับยืนต้น แต่ปลูกเพื่อการค้า ขายดอกสด ยังไม่แพร่หลายนัก โดยใช้ปลูกจากกิ่งตอน
สรรพคุณ     ดอกแก้เป็นลม แก้ไข บำรุงหัวใจ ขับน้ำดี บำรุงโลหิต 

ดอกเข็ม


ชื่อวิทยาศาสตร์:  Ixora chinensis Lamk. Ixora spp.
ชื่อวงศ์:  RUBIACEAE
ชื่อสามัญ:  West Indian Jasmine
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดย่อม ลำต้นสูงประมาณ 3–5 ฟุต จะแตกกิ่งก้านสาขาออกแผ่เป็นพุ่ม ลำต้นเป็นต้นเดี่ยวหรือแตกกอแผ่สาขาออกไปเป็นต้นต้นเล็กกลมขนาดเส้นรอบวงประมาณ 4-10 เซนติเมตรลำต้นเรียบสีน้ำตาลกิ่งยอดมีสีเขียวแตกกิ่งตรงขึ้นด้านบน
    ใบ  ใบของดอกเข็มแข็ง และเปราะง่าย มีสีเขียวสด ลักษณะใบมนรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบจะออกเรียงสลับกันคนละทิศทาง ลักษณะใบมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์
    ดอก  ดอกออกเป็นช่อใหญ่ จะออกตรงส่วนยอดของต้น ในแต่ละช่อจะประกอบด้วยดอกขนาดเล็กเป็นหลอด ตรงปลายหลอดจะเป็นกลีบซึ่งมีอยู่ 4-5 กลีบ ปลายกลีบแหลม ลักษณะดอกและสีสรรแตกต่างกันไป
    ฝัก/ผล  เป็นผลกลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ
ฤดูกาลออกดอก:  ออกดอกตลอดปี
การปลูก:
    -    การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน
    -    การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมปลูกเป็นกลุ่มตกแต่งสวนบริเวณบ้านหรือปลูกเป็นแนวรั้วก็ได้ สามารถตัดแต่ง และบังคับรูปทรงได้ตามความเหมาะสม และความต้องการของผู้ปลูก
การดูแลรักษา:  ชอบอยู่กลางแจ้ง ขึ้นได้กับดินทุกชนิดแต่จะชอบดินที่ร่วนซุยมากกว่า มีความชุ่มชื้นพอดี ทนทานต่อความแห้งแล้ง
การขยายพันธุ์:  ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด กิ่งตอน
ส่วนที่มีกลิ่นหอม:  ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร
ถิ่นกำเนิด:  แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สรรพคุณทางยา:
    -    รากมีรสหวานใช้รับประทานแก้โรคตา เจริญอาหาร
    -    ใบใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ
    -    ดอกแก้โรคตาแดง ตาแฉะ
    -    ผลแก้โรคริดสีดวงในจมูก

ทีมา http://www.nanagarden.com

ต้นทองกวาว

พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดเชียงใหม่
ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea monosperma (Lam.) Taub.
วงศ์  LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE
ชื่อสามัญ  Flame of the forest, Bastard Teak
ชื่ออื่น  กวาว ก๋าว จอมทอง จ้า จาน ทองธรรมชาติ ทองพรมชาติ ทองต้น
ไม้ต้น ขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 10 -15 เมตร เรือนยอดรูปทรงไม่แน่นอนส่วนใหญ่ ทรงกระบอกหรือทรงกลม
เปลือก  สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเทาคล้ำ แตกเป็นร่องตื้น ๆ และเป็นปุ่มปม ลำต้นและกิ่งคดงอ
ใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ  มีใบย่อย 3 ใบ ใบ กลางรูปมนกว้างเกือบกลม ปลายใบมนโคนใบสอบ
ส่วนใบข้างอีก 2 ใบ  รูปไข่  ปลายใบมน โคนใบแหลมแผ่นใบหนา และมีขนทั้งสองด้าน
ดอก  ใหญ่รูปดอกถั่วสีเหลืองถึงแดงแสด ออกเป็นช่อตามกิ่งก้านและที่ปลายกิ่ง   ยาว 2 - 15 ซม.
กลีบดอก 5 กลีบ  ยาวประมาณ 5 - 8 ซม.
 ผล  เป็นฝักรูปขอบขนาน แบน กว้างประมาณ 3 - 4 ซม. ยาวประมาณ 10 - 15 ซม. มีขนนุ่ม เมล็ดแบน 1 - 2 เมล็ดอยู่ที่ปลายฝัก
นิเวศวิทยา ขึ้นตามที่ราบลุ่มในป่าผลัดใบ ป่าหญ้า หรือป่าละเมาะ
ที่แห้งแล้ง พบมากทางภาคเหนือ ส่วนภาค อื่นขึ้นกระจัดกระจาย
ยกเว้นภาคใต้
ออกดอก ธันวาคม - มีนาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด
วิธีปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด เด็ดปีกแล้วนำไปแช่น้ำเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ข้อสังเกตและผลการทดลอง  1.  เมล็ดงอกใช้เวลาประมาณ 10 วัน
2.  ภายในระยะเวลา 3 เดือน ต้นกล้าจะมีความสูงประมาณ 30 ซม.  สามารถย้ายปลูกได้
ประโยชน์  เปลือกใช้ทำเชือกและกระดาษ ยางแก้ท้องร่วง
ใบตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด ท้องขึ้น ริดสีดวง เข้ายาบำรุง
กำลังดอก ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ   ให้สีเหลืองใช้ย้อมผ้า
เมล็ด ใช้ขับพยาธิตัวกลม  บดให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาวทาแก้คันและแสบร้อน

ดอกทานตะวัน

ชื่อสามัญทางวิทยาศาสตร์ Helianthus annuus
           ทานตะวัน เป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญพืชหนึ่ง น้ำมันที่ได้จากการสกัดจากเมล็ดทานตะวันจะมีคุณภาพสูง ที่ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น กรดลิโนเลนิค หรือกรดลิโนเลอิค ที่จะช่วยลดโคเลสเตอร์รอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมัน อุดตันในเส้นเลือด นอกจากนี้น้ำมันจากทานตะวันยังประกอบด้วยวิตามิน เอ ดี อี และเคด้วย ผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในเขตอบอุ่น เช่น สหภาพโซเวียต อาร์เจนตินา และประเทศในแถบยุโรปตะวันออก สำหรับประเทศไทย ได้มีการส่งเสริมให้มีการปลูกทานตะวันเป็นอาชีพเสริมมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมพืชน้ำมัน และความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ เพราะทานตะวันเป็นพืชที่มีอายุสั้นระบบรากลึก มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีกว่าพืชอื่น ๆ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ จังหวัดลพบุรี เพชรบูรณ์ และสระบุรี 
ทานตะวันเป็นพืชที่มีการปรับตัวเข้ากับสภาพของเขตร้อนได้ดีพอสมควรไม่ไวต่อแสง สามารถออกดอกให้ผลได้ทุกสภาพช่วงแสง ปลูกได้ในบริเวณที่มีการปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง เมื่อทานตะวันตั้งตัวได้แล้ว จะมีความทนทานต่อสภาพแห้งและร้อนได้พอสมควร และจะเริ่มเติบโตทันทีเมื่อมีฝน นอกจากนี้ทานตะวันยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศเย็นจัดได้ดีกว่าข้าวโพด ข้าวฟ่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นกล้า ทานตะวันขึ้นได้กับดินหลายประเภท แต่จะขึ้นได้ดีในสภาพดินที่มีผิวดินหนาและอุ้มความชื้นไว้ได้ดี สามารถทนต่อสภาพความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ตลอดจนสภาพดินเกลือและเป็นด่างจัดได้พอสมควร ซึ่งดินเหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตแห้งแล้งทั่ว ๆ ไป 
       
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 
     ทานตะวันเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับเบญจมาส คำฝอย ดาวเรือง เป็นพืชล้มลุกที่มีปลูกกันมากในเขตอบอุ่น การที่มีชื่อเรียกว่า "ทานตะวัน" เพราะลักษณะการหันของช่อดอกและใบจะหันไปทางทิศของดวงอาทิตย์ คือ หันไปทางทิศตะวันออกในตอนเช้า และทิศตะวันตกในตอนเย็น แต่การหันจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ หลังจากมีการผสมเกสรแล้วไปจนกระทั่งถึงช่วงดอกแก่ ซึ่งช่อดอกจะหันไปทิศตะวันออกเสมอ
ราก เป็นระบบรากแก้วหยั่งลึกลงไปประมาณ 150-270 เซนติเมตร มีรากแขนงค่อนข้างแข็งแรงแผ่ขยายไปด้านข้างได้ยาวถึง 60-150 เซนติเมตร เพื่อช่วยค้ำจุนลำต้นได้ดี และสามารถใช้ความชื้นระดับผิวดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลำต้น ส่วนใหญ่ไม่มีแขนง แต่บางพันธุ์มีการแตกแขนง ขนาดของลำต้น ความสูง การแตกแขนงขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม ความสูงของต้นอยู่ระหว่าง 1-10 เซนติเมตร การโค้งของลำต้นตรงส่วนที่เป็นก้านช่อดอกมีหลายแบบ แบบที่ต้องการคือแบบที่ ส่วนโค้งตรงก้านช่อดอกคิดเป็นร้อยละ 15 ของความสูงของลำต้น พันธุ์ที่มีการแตกแขนง อาจมีความยาวของแขนงสูงกว่าลำต้นหลักแขนงอาจแตกมาจากส่วนโคนหรือยอด หรือตลอดลำต้นก็ได้
ใบ เป็นใบเดี่ยวเกิดตรงกันข้าม หลังจากที่มีใบเกิดแบบตรงกันข้ามอยู่ 5 คู่แล้ว ใบที่เกิดหลังจากนั้นจะมีลักษณะวน จำนวนใบบนต้นอาจมีตั้งแต่ 8-70 ใบ รูปร่างของใบแตกต่างกันตามพันธุ์ สีของใบอาจมีตั้งแต่เขียวอ่อน เขียว และเขียวเข้ม ใบที่เกิดออกมาจากตายอดใหม่ ๆ ก้านใบจะอยู่ในแนวตั้งจนกระทั้งใบมีความยาว 1 เซนติเมตร ปลายยอดจะค่อย ๆ โค้งลงจนเมื่อใบแก่แล้วก็จะโค้งลงมาเป็นรูปตัวยู (U) การสร้างใบจะมีมากจนกระทั่งดอกบาน หลังจากนั้นการสร้างใบจะลดน้อยลง
ดอก เป็นรูปจาน เกิดอยู่บนตายอดของลำต้นหลัก หรือแขนงลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกอยู่ระหว่าง 6-37 เซนติเมตร ซึ่งขึ้นกับพันธุ์และสภาพแวดล้อม ดอกมีลักษณะเป็นแบบช่อดอก ประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. ดอกย่อยที่อยู่รอบนอกจานดอก เป็นดอกที่ไม่มีเพศ (เป็นหมัน) มีกลับดอกสีเหลืองส้ม
2. ดอกย่อยที่อยู่ในจานดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีเกสรตัวผู้ที่พร้อมจะผสมได้ก่อนเกสรตัวเมีย และสายพันธุ์ผสมเปิดส่วนใหญ่ผสมตัวเองน้อยมาก
ในแต่ละจานดอกจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 700-3,000 ดอก ในพันธุ์ที่ให้น้ำมัน ส่วนพันธุ์อื่น ๆ อาจมีดอกย่อยถึง 8,000 ดอก การบานหรือการแก่ของดอกจะเริ่มจากวงรอบนอกเข้าไปสู่ศูนย์กลางของดอก ดอกบนกิ่งแขนงจะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นแขนงที่แตกออกมาตอนแรก ๆ ดอกจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับดอกบนลำต้นหลัก ส่วนใหญ่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า มักจะเลือกต้นชนิดที่มีดอกเดี่ยว เพื่อความสมบูรณ์ของดอก และให้เมล็ดที่มีคุณภาพดี
เมล็ด (หรือผล) ประกอบด้วยเนื้อใน ซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือกที่แข็งแรง เมื่อผลสุกส่วนของดอกที่อยู่เหนือรังไข่จะร่วง ผลที่มีขนาดใหญ่จะอยู่วงรอบนอก ส่วนผลที่อยู่ข้างในใกล้ ๆ กึ่งกลางจะมีผลเล็กลง
เมล็ดทานตะวัน แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1. เมล็ดใช้สกัดน้ำมัน จะมีเมล็ดเล็ก สีดำ เปลือกเมล็ดบางให้น้ำมันมาก
2. เมล็ดใช้รับประทาน จะมีเมล็ดโตกว่าพวกแรก เปลือกหนาไม่ติดกับเนื้อในเมล็ด เพื่อสะดวกในการกะเทาะแล้วใช้เนื้อในรับประทาน โดยอบหรือปรุงแต่งขนมหวาน หรือทำเป็นแป้งประกอบอาหาร หรือใช้เมล็ดคั่วกับเกลือแล้วแทะเปลือกออกรับประทานเนื้อข้างในเป็นอาหารว่างเช่นเดียวกับเมล็ดแตงโม
3. เมล็ดใช้เลี้ยงนก ใช้เมล็ดเป็นอาหารเลี้ยงนก หรือไก่โดยตรง 

ดอกมะลิ


ชื่อสามัญ                                Sambac 

ชื่อวิทยาศาสตร์                        Jasminum sambac. , Jusminum adenophyllum.

ตระกูล                                    OLEACEAE
ลักษณะทั่วไป
ุ์มะลิเป็นพรรณไม้ยืนต้น และเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก จนถึงขนาดกลางบางชนิดก็มีลำต้นแบบเถาเลื้อย ลำต้นมีความสูงประมาณ1-3 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวมีสะเก็ดรอยแตกเล็กน้อย ลำต้นเล็กกลมแตกกิ่งก้านสาขาไปรอบ ๆ ลำต้น ใบเป็นใบเดียวแตกใบเรียงกันเป็นคู่ ๆ ามก้านและกิ่งลักษณะของใบมนป้อม โคนใบสอบเรียว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ขนาดใบกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ ออกตามส่วนยอดหรือตามง่ามใบดอกเล็กสีขาวมีกลีบดอกประมาณ 6-8 กลีบ เรียงกันเป็นวงกลมหรือซ้อนกันเป็นชั้นแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ขนาดดอกบานเต็มที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตรผลเป็นรูปกลมรีเล็กเมื่อสุกจะมีสีดำภายในมีเมล็ดอยู่1เมล็ดนอกจากนี้ลักษณะของลำต้นและดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธ์
  พันธ์ดอกมะลิ
 มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย
 มะลิลาซ้อน เป็นไม้พุ่มเลื้อย สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งตำใต้ผิวดินจำนวนมาก เป็นพุ่มแน่น ปลายกิ่งตั้งขึ้น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว มักมี 3 ใบต่อหนึ่งข้อ เรียงตรงข้ามร ใบรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ 1-3 ดอก สีขาว ออกที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบจำนวนมาก ขอบกลีบเป็นคลื่น เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 3- 4 เซนติเมตร ดอกบานอยู่ได้หลายวัน มีกลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี
 มะลิถอด ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.
 มะลิซ้อน เป็นไม้พุ่มเลื้อย สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งตำใต้ผิวดินจำนวนมาก เป็นพุ่มแน่น ปลายกิ่งตั้งขึ้น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว มักมี 3 ใบต่อหนึ่งข้อ เรียงตรงข้ามร ใบรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ 1-3 ดอก สีขาว ออกที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบจำนวนมาก ขอบกลีบเป็นคลื่น เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 3- 4 เซนติเมตร ดอกบานอยู่ได้หลายวัน มีกลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ออกดอกตลอดปี
 มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอกดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม
 มะลิทะเล เป็นไม้รอเลื้อย ดอกเป็นกระจุก ๆ หนึ่ง มี 5-6 ดอก กลิ่นหอมฉุน
 มะลุลี มะลุลีเป็นพันธุ์ไม้สกุลเดียวกับมะลิอีกชนิดหนึ่งที่มีดอกหอม มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น มะลิพวง มะลิเลื้อย มะลิซ่อม เป็นไม้รอเลื้อยกระจายพันธุ์อยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขนเห็นเด่นชัดเช่นกัน ใบและรูปแบบตลอดจนการจัดเรียง คล้ายมะลิอื่น ๆ แต่ใบมีขนเห็นเด่นชัด เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายใบแหลม ใบดกมาก จะออกดอกมากเป็นพิเศษประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ จึงปลูกคลุมซุ้มไม้ได้ดี ดอกเป็นช่อ แน่นตามปลายกิ่งและซอกใบ มีสีขาว แต่ละช่อมีมากกว่า 10 ดอกขึ้นไป จึงเห็นเป็นช่อใหญ่สวยงาม มีขนนุ่มๆ โดยเฉพาะที่กลีบเลี้ยงซึ่งเป็นแฉกแหลมๆ ลักษณะของดอกคล้ายมะลิลา แต่กลีบแคบยาวและปลายแหลมกว่า ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2.5-3 ซม. ใช้ทั้งช่อเป็นดอกไม้บูชาพระ กลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน คล้ายกลิ่นมะลิวัลย์
 มะลิเลื้อย ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดินยาวประมาณ 1 ฟุต ใบเล็กกว่าพันธุ์อื่นมาก
 มะลิวัลย์หรือมะลิป่า เป็นไม้เลื้อย ลำเถาเล็กเกลี้ยง ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ดอกเป็นช่อเล็กเพียง 1-2 ดอก ตรงซอกใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2-3 ซม. กลีบแคบและเรียวแหลม ดอกมีกลิ่นหอมแต่ร่วงเร็ว ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง หรือปักชำกิ่ง ปลูกตามซุ้ม หรือพันรั้วก็ได้ มะลิวัลย์ชนิดนี้มีลำเถายาวและเลื้อยพันได้เป็นระยะทางไกลๆ แต่ดอกไม่ดก จึงไม่เป็นที่สะดุดตาเหมือนมะลิป่าชนิดอื่นๆ
 พุทธิชาติ เป็นไม้รอเลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวแต่ใบด้านล่างลดขนาดลงมากจนมีลักษณะคล้ายหูใบ ดอกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่งและข้างกิ่ง ดอกสีขาว ปลายกลีบมน ก้านดอกยาว
 ปันหยี ต้นเป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับมะลิวัลย์ ใบเดี่ยว การออกของใบเช่นเดียวกันแต่ใบมีขนาดใหญ่กว่า ใบเป็นมันสีเขียวเข้มหนาและแข็ง ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวกลีบดอกใหย่กว่ามะลิวัลย์ กลีบดอกกว้างและมน ดอกชั้นเดียว ขนาดดอก 4-4.5 ซม. กลิ่นไม่หอม
 เครือไส้ไก่ ไม้เถา ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือกลม ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอก โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5  แฉก สีขาว มีกลิ่นหอม ผลสด รูปทรงกลมหรือรี ผลสุกสีดำ
 อ้อยแสนสวย เป็นไม้เลื้อย กิ่งอ่อนสีม่วงแดง ไม่มีขน กิ่งแก่สีน้ำตาล ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่ก้านใบสีม่วง ดอกออกเป็นช่อมี 8 ดอก ดอกกลางบานก่อน ก้านดอกยาว กลีบดอกขาว ชั้นเดียวปลายกลีบมน
 มะลิเขี้ยวงูเป็นไม้เลื้อย แตกกิ่งก้านมาก ไม่มีขน ใบออกเป็นช่อคล้ายใบแก้ว แต่บางกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอก ก้านดอกเป็นหลอดสีแดงอมม่วง กลีบดอกขาว กลิ่นหอมจัด
ประโยชน์
มะลินอกจากจะเก็บดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัย ทำเป็นดอกไม้แห้ง หรือนำมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหยแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และในดอกมะลิมีส่วนที่เป็นน้ำมันอยู่ 0.2-0.3% ดอกมีรสเผ็ด หวาน ฤทธิ์อุ่น ส่วนรากมีรสขม ฤทธิ์อุ่น มีพิษ
ดอก   มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง ตาแดง
ราก    เป็นยาแก้ปวด ทำให้ชา ฟันผุ ฟกช้ำ นอนไม่หลั
สรรพคุณ
เยื่อตาขาวอักเสบ หรือตาแดง   : ดอกมะลิสดล้างให้สะอาด ต้มจนเดือด สักครู่ นำน้ำที่ได้ใช้ล้างตา
ปวดกระดูก ปวดกล้ามเอ็น       : รากมะลิสดทุบให้แหลกคั่วกับเหล้าจนร้อน ใช้พอกบริเวณที่ปวด
ปวดฟันผุ : รากมะลิตากแห้งบดเป็นผง ผสมกับไข่แดงที่ต้มสุกแล้วจนได้ยาเหนียวข้น ใส่ในรูฟันผุ
ข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ รากมะลิมีพิษ ไม่ควรใช้รับประทานหรืออาจใช้แต่น้อย เช่น ใช้รากมะลิสดไม่เกิน 1.5 กรัม ฝนกับน้ำใช้ดื่มแก้อาการนอนไม่หลับ
มะลิซ้อน    ดอกสด          ใช้รักษาโรคตาเจ็บ แก้ไข้ตัวร้อน แก้หวัด
               ดอกแห้ง         ใช้ปรุงเป็นสารแต่งกลิ่น
               ใบสด             นำมาตำให้ละเอียดจะช่วยรักษาแผลพุพองและแผลฝีดาษ
               ต้น               ใช้รักษาโรคคุดทะราด ขับเสมหะและนำมาฝนใช้แก้ปวด รักษาโรคร้อนในและอาการเสียดท้องหิต
               ราก               นำมาฝนใช้แก้ปวด รักษาโรคร้อนในและอาการเสียดท้อง
มะลิวัลย์     ราก               ใช้เป็นยาถอนพิษต่าง ๆ ได้ 

ดอกทิวลิป


ชื่อสามัญ :          tulip
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tulipa spp. L.
ตระกูล :             Liliaceae

ทิวลิป (Tulip) เป็นชื่อสามัญของพันธุ์ไม้หัว ที่ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ถ้าเราจะกล่าวกันถึง ต้นหรือดอก “ทิวลิป”
ก็จะเหมือนๆ กับการพูดถึง “กล้วยไม้” หรือ “กุหลาบ” อย่างนั้นเอง เพราะชื่อของทิวลิป กล้วยไม้ และกุหลาบ เป็นคำสามัญนามที่ไม่ได้มีจัดแยกประเภทกันว่า เป็นต้นไม้หรือดอกไม้อย่างไหน พันธุ์ไหน หรือชนิดไหน พันธุ์พืชแต่ละอย่าง หรือแต่ละนามนี้ ต่างก็มีสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกแขนงออกไปเป็นพันธุ์ (Species) เป็นชนิด (Variety)
ลักษณะ
ทิวลิปเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว รูปใบเล็กเรียวยาว ปลายใบแหลม เส้นแขนงใบจะเป็นแนวขนานไปตามความยาวของใบ และเรียวลู่ไปรวมกันที่บริเวณปลายใบ ใบแต่ละใบจะออกสลับทิศทางตรงข้ามกัน ต้นหนึ่งๆ จะออกใบประมาณ 3-4 ใบ โดยปรกติทิวลิปจะมีขนาดสูงระหว่าง 12-18 นิ้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่พันธุ์และชนิดของทิวลิปแต่ละอย่าง ดอกของทิวลิปก็เช่นเดียวกัน มีหลายแบบ หลายสี และหลายขนาด แต่โดยปรกติดอกทิวลิปจะเป็นดอกไม้รูปถ้วย ยามบานไม่บานแฉ่ง แต่จะบานเพียงแค่แย้มๆ กลีบออก ให้รู้ว่าเป็นดอกทิวลิปที่บานแล้ว แต่อย่างบายแฉ่งก็มีบ้าง เหมือนกัน เช่น พวกดอกทิวลิปซ้อนหลายๆ ชั้น ปรกติดอกทิวลิปจะมีกลีบดอกซ้อนกันเพียง 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ กลีบดอกของทิวลิปมีสีสันต่างๆ มากมายหลายเฉดสี นับตั้งแต่สีแสด แดง ส้ม เหลืองเข้ม เหลือง เหลืองอ่อน ชมพู ขาว และสีสลับลายหลายอย่าง มีทั้งสีเดียวล้วนๆ และสีผสมในดอกเดียว หรือที่เรียกว่า ”Broken Tulips” เกสรผู้เป็นสีเหลืองอ่อน หรือขาวเป็นแท่งรูปหัวศรมี 6 เส้น เกสรเมียมีขนาดโตกว่าเกสรผู้ อยู่กึ่งกลางเกสรผู้ เป็นลักษณะแท่งรูปสามเหลี่ยมยาว 2 - 2.5 เซนติเมตร ( ซึ่งมีขนาดยาวไล่เลี่ยกับเกสรผู้ ) ปลายเกสรเมียแต่ละเหลี่ยม งอลงเป็นสามแฉก ส่วนที่ปลายเกสรผู้บางพันธุ์อาจจะเป็นติ่งสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำก็มี

ว่านหางจระเข้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe vera  (L.)  Burm.f.
ชื่อพ้อง : Aloe barbadensis  Mill
ชื่อสามัญ :  Star cactus, Aloe, Aloin, Jafferabad, Barbados
วงศ์ :  Asphodelaceae                                                   
ชื่ออื่น  หางตะเข้ (ภาคกลาง) ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน แผ่นใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร ผล เป็นผบแห้งรูปกระสวย
ส่วนที่ใช้ :  
ยางในใบ น้ำวุ้น เนื้อวุ้น และเหง้า
สรรพคุณ :
  • ใบ - รสเย็น ตำผสมสุรา พอกฝี
  • ทั้งต้น - รสเย็น ดองสุราดื่มขับน้ำคาวปลา
  • ราก - รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน แก้มุตกิด
  • ยางในใบ - เป็นยาระบาย
  • น้ำวุ้นจากใบ - ล้างด้วยน้ำสะอาด ฝานบางๆ รักษาแผลสดภายนอก น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำให้แผลเป็นจางลง ดับพิษร้อน ทาผิวป้องกันและรักษาอาการไหม้จากแสงแดด ทาผิวรักษาสิวฝ้า และขจัดรอยแผลเป็น
  • เนื้อวุ้น - เหน็บทวาร รักษาริดสีดวงทวาร
  • เหง้า - ต้มรับประทานแก้หนองใน โรคมุตกิด
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
  • ใช้เป็นยาภายใน 1. เป็นยาถ่าย 
    ใช้น้ำยางสีเหลืองที่มีรสขม คลื่นไส้ อาเจียน น้ำยางสีเหลืองที่ไหลออกมาระหว่างผิวนอกของใบกับตัววุ้น จะให้ยาที่เรียกว่า ยาดำ 
    วิธีการทำยาดำ ตัดใบว่านหางจระเข้ที่โคนใบให้เป็นรูปสามเหลี่ยม (ต้องเป็นพันธุ์เฉพาะ ซึ่งจะมีขนาดใบใหญ่ และอวบน้ำมาก จะให้น้ำยางสีเหลืองมาก) ต้นที่เหมาะจะตัด ควรมีอายุ 9 เดือนขึ้นไป จะให้น้ำยางมากไปจนถึงปีที่ 3 และจะให้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ 10 ตัดใบว่านหางจระเข้ตรงโคนใบ และปล่อยให้น้ำยางไหลลงในภาชนะ นำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ ทิ้งไว้จะแข็งเป็นก้อน
    ยาดำ
     มีลักษณะสีแดงน้ำตาล จนถึงดำ เป็นของแข็ง เปราะ ผิวมัน กลิ่นและรสขม คลื่นไส้ อาเจียน
    สารเคมี - สารสำคัญในยาดำเป็น G-glycoside ที่มีชื่อว่า barbaloin (Aloe-emodin anthrone C-10 glycoside)
    ขนาดที่ใช้เป็นยาถ่าย - 0.25 กรัม เท่ากับ 250 มิลลิกรัม ประมาณ 1-2 เม็ดถั่วเขียว บางคนรับประทานแล้วไซ้ท้อง
    2. แก้กระเพาะ ลำไส้อักเสบ 
    โดยเอาใบมาปอกเปลือกออก เหลือแต่วุ้น แล้วใช้รับประทาน วันละ 2 เวลา ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
    3. แก้อาการปวดตามข้อ โดยการดื่มว่านหางจระเข้ทั้งน้ำ วุ้น หรืออาจจะใช้วิธีปอกส่วนนอกของใบออก เหลือแต่วุ้น นำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นๆ จะช่วยให้รับประทานได้ง่าย รับประทานวันละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 2 ช้อนแกง บางคนบอกว่า เมื่อรับประทานว่านหางจระเข้ อาการปวดตามข้อจะทุเลาทันที แต่หลายๆ คนบอกว่า อาการจะดีขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกันสองเดือนขึ้นไป สำหรับใช้รักษาอาการนี้ ยังไม่ได้ทำการวิจัย
  • ใช้สำหรับเป็นยาภายนอก ใช้ส่วนวุ้น ต้องล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด
    1. รักษาแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวก ใช้วุ้นในใบสดทา หรือแปะที่แผลให้เปียกอยู่ตลอดเวลา 2 วันแรก แผลจะหายเร็วมาก จะบรรเทาปวดแสบ ปวดร้อน หรืออาการปวดจะไม่เกิดขึ้น แผลอาจไม่มีแผลเป็น (ระวังความสะอาด)
    2. ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา และแก้แผลเรื้อรังจากการฉายรังสี  ป้องกันการถูกแดดเผา ใช้ทาก่อนออกแดด อาจใช้ใบสดก็ได้ แต่การใช้ใบสดอาจจะทำให้ผิวหนังแห้ง เนื่องจากใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ฝาดสมาน ถ้าจะลดการทำให้ผิวหนังแห้ง อาจจะใช้ร่วมกับน้ำมันพืช หรืออาจจะเตรียมเป็นโลชันให้สะดวกในการใช้ขึ้น
    รักษาผิวหนังที่ถูกแดดเผา หรือไหม้เกรียมจากการฉายแสง โดยการทาด้วยวุ้นของว่านหางจระเข้บ่อยๆ จะลดการอักเสบลง แต่ถ้าใช้วุ้นทานานๆ จะทำให้ผิวแห้ง ต้องผสมกับน้ำมันพืช ยกเว้นแต่ จะทำให้เปียกชุ่มอยู่เสมอ
    3. แผลจากของมีคม แก้ฝี แก้ตะมอย และแผลที่ริมฝีปาก เป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน ล้างใบว่านหางจระเข้ให้สะอาด บาดแผลก็ต้องทำความสะอาดเช่นกัน นำวุ้นจากใบแปะตรงแผลให้มิด ใช้ผ้าปิด หยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้เปียกอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
    4. แผลจากการถูกครูด หรือถลอก แผลพวกนี้จะเจ็บปวดมาก ใช้ใบว่านหางจระเข้ล้างให้สะอาด ผ่าเป็นซีก ใช้ด้านที่เป็นวุ้นทาแผลเบาๆ ในวันแรกควรทาบ่อยๆ จะทำให้แผลไม่ค่อยเจ็บ และแผลหายเร็วขึ้น
    5. รักษาริดสีดวงทวาร นอกจากจะช่วยรักษาแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการปวด อาการคันได้ด้วย โดยทำความสะอาดทวารหนักให้สะอาดและแห้ง ควรปฏิบัติหลังจากการอุจจาระ หรือหลังอาบน้ำ หรือก่อนนอน เอาว่านหางจระเข้ปอกส่วนนอกของใบ แล้วเหลาให้ปลายแหลมเล็กน้อย เพื่อใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ถ้าจะให้เหน็บง่าน นำไปแช่ตู้เย็น หรือน้ำแข็งให้แข็ง จะทำให้สอดได้ง่าย ต้องหมั่นเหน็บวันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย
    6. แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดของว่านหางจระเข้หนาประมาณ ? เซนติเมตร ทาปูนแดงด้านหนึ่ง เอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
    7. เป็นเครื่องสำอาง  7.1 วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะด้วย
     7.2 สตรีชาวฟิลิปปินส์ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้รวมกับเนื้อในของเมล็ดสะบ้า (เนื้อในของเมล็ดสะบ้ามีสีขาว ส่วนผิวนอกของเมล็ดสะบ้ามีสีน้ำตาลแดง รูปร่างกลมแบนๆ ใช้เป็นที่ตั้งในการเล่นสะบ้า) ต่อเนื้อในเมล็ดสะบ้าประมาณ ? ของผลให้ละเอียด แล้วคลุกรวมกับวุ้น นำไปชโลมผมไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก ใช้กับผมร่วง รักษาศีรษะล้าน
    7.3 รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมาก เพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทา จะทำให้ผิวหนังมีน้ำ มีนวลขึ้น
    7.4 รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
    7.5 โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังลองใช้กับคนไข้ที่เป็นแผล เกิดขึ้นจากนั่ง หรือนอนทับนานๆ ( Bed sore )
    ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางที่เตรียมขายในท้องตลาดหลายารูปแบบ เช่น ครีม โลชัน แชมพู และสบู่
    สำหรับสาระสำคัญที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น ได้ค้นพบว่าเป็นสาร glycoprotein มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory พบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้

ต้นข่อย

              ข่อย มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สนนาย เป็นไม้ยืนต้นที่ชาวไทยรู้จักกันดี เพราะข่อยนั้น ถือได้ว่า เป็นแปรงสีฟันในยุคแรกๆ ของประเทศไทยเลยทีเดียว คนโบราณเชื่อกันว่าหากบ้านใด ที่ปลูกต้นข่อยเอาไว้ภายในบริเวณบ้าน ก็จะมีความมั่นคงปลอดภัย และแคล้วคลาดจากอันตรายที่เกิดจากผู้ไม่หวังดี หรือศัตรูที่อาจทำอันตรายแก่สมาชิกภายในบ้าน และผู้คนในบ้านก็จะมีความแข็งแกร่ง อดทนได้ดีเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งความเชื่อนี้ก็เกิดขึ้นเพราะต้นข่อยนั้น เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงทนทาน มีอายุยืนหลายชั่วอายุคน และใบของมันยังนำมาโบกพัด เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปจากบ้านได้เช่นกัน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Streblus  asper  Lour. 
ชื่อวงศ์
 MORACEAE
ชื่อสามัญ
 ข่อย
ชื่อทางการค้า
Siamese rough bush, Tooth brush tree. 
ชื่อพื้นเมือง
กักไม้ฝอย (ภาคเหนือ) ข่อย (ทั่วไป) ซะโยเส่ (กะหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) ตองขะแหน่ (กะเหรี่ยง กาญจนบุรี) ส้มพอ (ร้อยเอ็ด ) สะนาย (เขมร)
ลักษณะทั้วไป
ข่อยเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก - กลาง สูง 5-15 ม. ไม่ผลัดใบ ลำต้นค่อนข้างคดงอ เป็นปุ่มปม รูปทรง (เรือนยอด)  พุ่มกลม  แน่นทึบ พบทั่วไปในที่ราบ  ในป่าเบญจพรรณแล้งจนถึงป่าดิบแล้งทั่วไปที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 20-600 เมตร  ในต่างประเทศพบในลาว  พม่า  เขมร
ใบ
ใบเดี่ยวเรียงตัวแบบสลับ  ตัวใบมีรูปร่างหลายลักษณะ มีทั้งรูปรี  รูปสามเหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปไข่ ปลายมนโค้ง  โคนใบแหลม  ขอบใบหยัก  ขนาดกว้าง 2-4 ซม. ยาว 3-7 ซม.  เนื้อใบหยาบและระคายมือ 
ดอก
ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ต่างดอกกัน ออกใบที่ปลายกิ่ง  ดอกตัวเมียอยู่เดี่ยวๆ ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กกว่ามาก  และอยู่รวมกันเป็นช่อกระจุก สีขาวหรือเหลืองอ่อน ออกดอก ระหว่างเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 
ผล
รูปไข่ ขนาดประมาณ 0.5 ซม.  มีเนื้อฉ่ำน้ำหุ้ม  มีเมล็ดขนาดประมาณเมล็ดพริกไทย  ผลแก่สีเหลือง  เนื้อหุ้มเมล็ดมีรสหวานกินได้ นกชอบกิน ผลแก่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 
การขยายพันธุ์
 นิยมใช้รากปักชำ  ซึ่งข่อยจะเติบโตได้เร็วกว่าใช้กิ่งปักชำหรือการเพาะเมล็ด
ประโยชน์
เนื้อไม้ข่อยในสมัยโบราณนิยมนำมาทำกระดานข่อย  เนื้อไม่นิยมนำมาก่อสร้าง  เพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนและไม่ทนทาน ลำต้นปลูกเป็นแนวกันลม ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ให้ความร่มรื่น หรือนำมาปลูกเป็นไม้ดัด  ไม้แคระของไทยมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน  โดยนำมาปลูกแต่งสนามหญ้ากลางแจ้ง  สามารถตัดแต่งเรือนยอดได้ดี
สรรพคุณทางยา
เปลือก  มีสรรพคุณแก้โรคฟัน  รักษาแผล  แก้ท้องร่วง  รสเบื่อเมา  ดับพิษภายใน  ทาริดสีดวงแก้พยาธิผิวหนัง  ต้มกับเกลือให้เค็มเป็นยาอมแก้รำมะนาด
ยาง  จากต้นไม้มีน้ำย่อยชื่อ milk (lotting enzyme) ใช้ย่อยน้ำนม ราก  ใช้เป็นยาใส่แผล เนื้อไม้  ใช้ผสมเป็นยาสูบ 

กิ่งอ่อน ทุบให้นิ่มใช้สีฟัน  คนเชียงใหม่ใช้แก่นข่อยหั่นเป็นฝอยมวนเป็นบุหรี่สูบแก้ริดสีดวงจมูก

เมล็ด  เข้ายาอายุวัฒนะ  บำรุงธาตุ  และเจริญอาหาร 

ข่อย เป็นทั้งไม้ยืนต้น และเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรพคุณทางยามาตั้งแต่โบราณ เป็นต้นไม้ขวัญใจเด็กๆภูธร เพราะ "ลูกข่อย" นั้นมีรสหวานรับประทานอร่อย และพบได้ทั่วไป 

ต้นนนทรี

ภาพ:Nontri_3.jpg
        นนทรี เป็นไม้ยืนต้นสูง 15-30 เมตร กิ่งผลัดใบ เรือนยอดเป็นรูปร่มแผ่กว้าง เปลือกต้นสีเทา ลำต้นเปลาตรง ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง โตเร็ว ชอบแดดจัด
        ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ปลายคู่ เรียงเวียนสลับถี่ที่ปลายกิ่ง ก้านใบย่อย 10 - 22 คู่ ไม่มีก้านใบย่อย ใบย่อย 6 - 16 คู่ รูปขอบขนานกว้าง 0.5 - 1 เซนติเมตร ยาว 1 - 2.5 เซนติเมตร ปลายใบมนและเว้าเล็กน้อน โคนใบมนและเบี้ยว
        ดอกช่อออกที่ซอกใบปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลงยาว 15 -20 เซนติเมตร กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง กลีบดอกซ้อนกันแน่น มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 - 1.5 ซม. เกสรตัวผู้ 10 กัน ออกดอกเดือนมกราคม - มีนาคม ดอกนนทรีนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เกิดเป็นช่อกลุ่มใหญ่ที่ปลายกิ่ง แต่ดอกงดงามนั้นมีอายุอยู่บนต้นได้ไม่นานนักก็จะร่วงลงมากองอยู่ที่พื้นโคนต้น ดูเหลืองไปทั้งบริเวณเหมือนปูพรมธรรมชาติเพื่อประดับราวป่า ให้มีชีวติชีวา ช่อดอกนนทรีชนิดที่เราคุ้นตาและปลูกเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นี้มีช่อดอกใหญ่ยาวและตั้งตรง ก้านดอกย้อยสั้น หลังจากดอกร่วงไปหมดแล้ว เราจะเริ่มสังเกตเห็นได้ว่าที่ปลายกิ่งนนทรีปรากฏการพัฒนาตัวของฝักซึ่งจะขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่เดือน ทั้งต้นดูราวประดับด้วยโล่สีสนิมเหล็กกล้าเป็นมัน งดงามแกร่งกล้าไปอีกแบบ ในช่วงนี้ต้นนนทรีดูเกือบจะไม่มีใบเอาเสียเลย ฝักนนทรีจะติดคาต้นอยู่จนถึงฤดูฝนจนกว่าจะเปราะหลุดออกจากต้นไป ฝรั่งนิยมเรียกฝักนนทรีว่า copper shield pods ด้วยเหตุนี้เอง
            ประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครคิดถึงนั้นก็คือเปลือก เปลือกต้นนนทรีนั้น เมื่อนำไปต้มแล้วจะให้สีน้ำตาลเหลือง ใช้ในการย้อมผ้าฝ้ายบาติกในเกาะชวา อินโดนีเซีย นอกจากนี้เปลือกนนทรียังมีขายกันในร้านสมุนไพรในเกาะชวาด้วย เพราะเป็นแหล่งที่มาของแทนนิน ใช้รักษาโรคท้องร่วง หรือนำไปเคี่ยวเข้าน้ำมัน นวดแก้ตะคริว กล้ามเนื้ออักเสบ ปลูกเป็นไม้ประดับ ลำต้นไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้าง เรื่องเรือน เปลือก มีรสรับประทานเป็นยากล่อมเสมหะ แก้โรคท้องร่วง เป็นยาขับลมปลูกเป็นไม้ประดับ

ต้นหูกระจง




หูกระจง หรือ แผ่บารมี (Terminalia ivorensis Chev.) 

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
ส่วน Magnoliophyta
ชั้น Magnoliopsida
อันดับ Myrtales
วงศ์ Combretaceae
สกุล Terminalia
สปีชีส์ T. ivorensis

ต้นหูกระจง มีถิ่นกำเนิดในป่าแอฟริกาตะวันตก แถบเส้นศูนย์สูตร ตั้งแต่ประเทศกีนี ไปจนถึงประเทศแคเมอรูน เป็นพืชเศรษฐกิจ มีการปลูกเพื่อใช้เนื้อไม้ ในแถบถิ่นกำเนิด เป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตเร็ว และมีอายุยืน

ลักษณะ

เป็นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามแตกกิ่งเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 50-100 ซม. แม้หูกระจงเป็นไม้ผลัดใบแต่จะผลัดใบน้อยกว่าหูกวาง โดยปกติเป็นไม้ที่ชอบน้ำเมื่อนำไปปลูกในกระถางหรือลงดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และสม่ำเสมอใบแทบจะไม่ร่วงเลย และที่ตั้งชื่อว่า หูกระจงเป็นเพราะลักษณะใบคล้ายกับหูกวาง แต่ใบหูกระจงจะมีขนาดเล็กกว่า สำหรับดอกมีสีขาวคล้ายดอกกระถินณรงค์ เมล็ดหูกระจงจะคล้ายกับเมล็ดพุทรา และ ปัจจุบันการขยายพันธุ์ต้นหูกระจงนิยมใช้วิธีเพาะเมล็ดเนื่องจากเจริญเติบโต ได้เร็ว และได้ทรงพุ่มที่สวยงาม



ต้นหูกระจง ที่พบในประเทศไทยมีอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ หูกระจงธรรมดา หูกระจงหนาม และหูกระจงแคระ หูกระจงธรรมดาได้รับความนิยม ซื้อไปปลูกเป็นไม้ประดับมากที่สุด ทั้งๆ ที่หูกระจงหนามมีทรงพุ่มที่สวยกว่า และใบของต้นหูกระจงหนามจะเป็นเงา และแน่นกว่า เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กระถาง เหตุผลที่สำคัญที่คนสนใจปลูกต้นหูกระจงหนามไม่มาก เนื่องจากความเชื่อเรื่องหนามที่ไม่เป็นมงคลต่อผู้ปลูก สำหรับหูกระจงแคระ เป็นหูกระจงที่หายากกว่าหูกระจงสายพันธุ์อื่น ราคาก็ยิ่งแพง 

ต้นหูกวาง

                 ต้นหูกวาง เป็นไม้ผลัดใบ เปลือกลำต้นเรียบ เนื้อไม้สีน้ำตาล ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาคือทั้งต้น ราก ใบ และผล โดยทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมานแก้ท้องเสีย แก้บิด ลดไข้ ขับน้ำนม ให้ประจำเดือนมาปกติ ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถเตรียมยาได้ด้วยตนเองโดยนำทั้งต้น (สดหรือแห้ง) มาล้างให้สะอาด ใส่น้ำนำไปต้ม นำน้ำที่ได้มาดื่ม ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ ส่วนเปลือกของต้นก็สามารถใช้เป็นยาสมุนไพรได้โดยมีสรรพคุณคือใช้รักษาอาการตกขาวที่ผิดปกติ แก้อาการท้องเดินได้ โดยนำเปลือกมาล้างให้สะอาด นำไสำหรับใบช่วยขับเหงื่อ รักษาอาการผื่นคันทางผิวหนัง รักษาโรคเรื้อน รักษาอาการไขข้อ ช่วยลดการอักเสบของทอนซิล และช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยใบใช้เป็นทั้งยาภายนอกและยาภายในได้ เมื่อใช้เป็นยาภายนอกก็นำใบมาล้างให้สะอาด นำไปตำและใส่น้ำสะอาด นำไปทาบริเวณผิวหนังที่เป็นหรือบริเวณไขข้อที่ปวด และถ้าใช้เป็นยาภายในก็นำใบมาล้างให้สะอาด ใส่น้ำ นำไปต้ม นำน้ำที่ได้มาดื่ม ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรหยุดและไปพบแพทย์ สำหรับผลนำมารับประทานช่วยระบายได้ ปต้ม นำน้ำที่ได้มาดื่ม กิ่งแตกเวียนรอบลำต้น กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม และเมื่อแก่จะหลุดร่วงไป
ชื่อทั่วไป - หูกวาง
ชื่อสามัญ - Bengal Almond, Indian Almond, Sea Almond
ชื่อวิทยาศาสตร์ - Terminalia catappa L.
วงศ์ - COMBRETACEAE ชื่ออื่นๆ - โคน ดัดมือ ตัดมือ , ตาปัง , ตาแปห์ , หูกวาง , หลุมปัง
ถิ่นกำเนิด - ป่าชายหาด ตามโขดหินริมทะเล
ประเภท - ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ - ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8-20 เมตร เปลือกเรียบ แตกกิ่งตามแนวนอนเป็นชั้นๆ - ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ตอนปลายกิ่ง แผ่นใบรูปไข่กลับ กว้าง 8-15เซนติเมตร ยาว 12-25 เซนติเมตร - ดอก เล็ก สีขาวนวล ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน - ผล รูปไข่หรือรูปรีแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 3-7เซนติเมตร
การขยายพันธ์ - ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม - ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี ขึ้นตามหาดทราย และขึ้นได้ทั่วไป
ประโยชน์ - เปลือกและผล มีรสฝาดมาก ใช้แก้ท้องเสีย ฟอกหนังสัตว์ ทำหมึก เมล็ดในผล รับประทานได้ ให้น้ำมันคล้ายอัลมอนด์

ต้นกันภัยมหิดล

ต้นกันภัยมหิดล (ชื่อวิทยาศาสตร์Afgekia mahidoliae Burtt et Chermsir) ค้นพบครั้งแรกที่ประเทศไทยโดยนายเกษม จันทรประสงค์
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ประทานพระราชวินิจฉัยชี้ขาดให้ต้นกันภัยมหิดล เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ด้วยเหตุว่า เป็นต้นไม้ที่พบในประเทศไทย ปลูกง่าย นามเป็นมงคลและพ้องกับชื่อมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะเป็นไม้เถาแต่ก็มีลักษณะสวยงาม สามารถจัดแต่งเป็นทรงพุ่มได้หลายแบบ อายุยืน โดยเมื่อเถาแห้งไปก็สามารถงอกขึ้นใหม่ได้ ซึ่งความเป็นไม้เถาแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าและความสามารถปรับตัวให้พัฒนาไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างดีเป็นไม้เถา แตกพุ่มหนาแน่น ยาวประมาณ 15 ม. มีขนคล้ายไหมหนาแน่นเกือบทุกส่วน หูใบออกเป็นคู่ รูปเคียว เบี้ยวเล็กน้อย ยาวประมาณ 1.5 ซม. ใบประกอบแกนกลางยาว 8-18 ซม. ก้านใบยาว 2.5 ซม. หูใบย่อยรูปเส้นด้าย ยาว 5 มม. ใบย่อยมี 4-6 คู่ เรียงเกือบตรงข้าม รูปไข่หรือขอบขนาน ยาว 1.5-7.5 ซม. ปลายใบกลม มีติ่งเล็กๆ โคนใบกลมหรือรูปหัวใจตื้นๆ เส้นแขนงใบข้างละ 5-8 เส้น ก้านใบย่อยยาว 2-4 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ ยาว 10-15 ซม. ใบประดับรูปใบหอก ยาว 1.5-3 ซม. ก้านดอกยาว 0.7-1 ซม. กลีบเลี้ยงรูประฆัง สีขาวอมม่วง หลอดกลีบยาว 5-7 มม. รูปปากเปิด กลีบบน 2 กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาว 3-6 มม. กลีบล่าง 3 กลีบ ยาวไม่เท่ากัน รูปแถบหรือรูปลิ่มแคบ ยาว 0.5-1 ซม. กลีบดอกสีม่วงอ่อน กลีบกลางรูปรี ด้านในมีสีเข้ม พับงอกลับ ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายเป็นติ่งแหลม โคนกลีบรูปหัวใจ เป็นสันนูนทั้งสองด้าน เส้นกลางกลีบเป็นร่อง มีสีเหลืองแต้มใกล้โคน ที่โคนมีเดือยรูปสามเหลี่ยม 1 คู่ ยาว 3 มม. กลีบปีกรูปขอบขนาน มีสีเข้ม ยาว 1.5 ซม. กลีบคู่ล่างยาวเท่าๆ กลีบปีก เชื่อมติดกันรูปคุ่ม ฝักรูปรีหรือขอบขนาน ยาว 7-9 ซม. หนาประมาณ 3 ซม. เมล็ดมี 1-2 เมล็ด สีน้ำตาล เกือบกลม
ที่มา ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สุพรรณิการ์ (กรรณิการ์,ฝ้ายคำ)



            สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานต้นสุพรรณิการ์ เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ขณะนี้ปลูกไว้บริเวณหน้าอาคาร หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2542 
วงศ์ : COCHLOSPERMACEAE

ชื่อวิทยาศาสตร์ : 
Cochlospermum religiosum (L.) Alston
Cochlospermum regium (Mart. & Schrank) Pilg.(ฝ้ายคำซ้อน)
Cochlospermum gossypium De Candole
(Syn. Maxmiliana gossypium Kuntze หรือ Bombax gossypium L.)
ชื่อสามัญ : Yellow Silk Cotton, Butter-Cup (Single), Butter-Cup (Double),Torchwood
เป็นต้นไม้ผลัดใบสูง 7-15 เมตร กิ่งก้านคดงอ ใบรูปหัวใจ แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉก ขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อออกกระจายที่ปลายกิ่ง บานทีละดอก ดอกเหลืองมีกลิ่น กลีบบาง เกสรสีเหลือง รังไข่มีขน ผลกลมเมื่อแก่แตก 3-5 พู ภายในมีเมล็ดรูปไตสีน้ำตาล หุ้มด้วยปุยขาวคล้ายปุยฝ้าย ออกดอกเกือบตลอดปี ดอกดกมาก ราวกุมภาพันธ์-เมษายน มีถิ่นกำเนิดในอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาหิมาลัย และเป็นไม้พื้นเมือง ของพม่าด้วย ในศรีลังกามักปลูกบริเวณพระอุโบสถ เป็นดอกไม้บูชาพระ ในเมืองไทยทางเหนือ เรียกว่า ฝ้ายคำ นำเข้ามาประเทศไทยกว่า 50 ปีมาแล้ว
การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง เป็นไม้กลางแจ้ง ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด
เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็กสูง 3-12 เมตร มีก้านใบสีแดงอมน้ำตาล ใบกลม โคนใบรูปหัวใจ แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉกลึก ขอบใบจักดอกออกเป็นกระจุกแน่นที่ปลายกิ่งและบานพร้อมๆกัน ไม่มีกลิ่น ขณะออกดอกจะสลัดใบหมด กลีบดอกสีเหลืองสด เกสรเหลือง แต่ส่วนโคนเกสรครึ่งล่างมีสีแดง รังไข่เกลี้ยง ผลสุกสีแดงอมเขียว เมื่อแก่จะแตก 5 พู ภายในมีเมล็ดรูปไตหุ้มด้วยปุยขาวคล้ายปุยฝ้าย ถิ่นเดิมจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้
การขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ดและปักชำกิ่ง 
คุณประโยชน์ สุพรรณิการ์(ฝ้ายคำ) นอกจากเป็นไม้ประดับแล้ว ยางจากต้นให้ผลิตผลเป็น Karaya gum หรือทางการค้าเรียกว่า Crystalgum เป็นก้อนผลึกสีเหลืองอ่อนหรือน้ำตาลอมชมพู ใช้เป็นยาระบาย ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาเซทผม เป็นยาทาบำรุงผิว ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้าและการพิมพ์ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง ผสมไอศกรีมทำให้ข้น เนื้อไม้ต้มกับแป้งเป็นอาหาร ใบอ่อนใช้สระผม ดอกแห้งและใบแห้งใช้เป็นยาบำรุงกำลัง